ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศรัสเซีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สหพันธรัฐรัสเซีย

Российская Федерация (รัสเซีย)
เพลงชาติГосударственный гимн Российской Федерации
(เพลงชาติสหพันธรัฐรัสเซีย)
ที่ตั้งของรัสเซีย
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
มอสโก
ภาษาราชการรัสเซียเป็นภาษาทางการทั่วประเทศ
มีภาษาทางการร่วมอีก 27 ภาษาในภูมิภาคต่าง ๆ
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี
วลาดีมีร์ ปูติน
ดมีตรี เมดเวเดฟ
• ประธานสภาสหพันธ์
วาเลนตินา มัตวิเยนโก
• ประธานสภาดูมา
เซียเกย์ นารีชกิน
ก่อตั้ง
พ.ศ. 1405
พ.ศ. 1425
พ.ศ. 1712
พ.ศ. 1826
16 มกราคม พ.ศ. 2090
22 ตุลาคม พ.ศ. 2264
7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460
10 ธันวาคม พ.ศ. 2465
• สหพันธรัฐรัสเซีย
25 ธันวาคม พ.ศ. 2534
พื้นที่
• รวม
17,098,242 ตารางกิโลเมตร (6,601,668 ตารางไมล์) (1)
4.2 [1]
ประชากร
• 2555 ประมาณ
138,082,178 [1] (9)
• สำมะโนประชากร 2553
142,905,200 [2]
8.3 ต่อตารางกิโลเมตร (21.5 ต่อตารางไมล์) (217)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2554 (ประมาณ)
• รวม
2.376 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ[3] (6)
16,840 ดอลล่าร์สหรัฐ[3]
จีดีพี (ราคาตลาด) 2554 (ประมาณ)
• รวม
1.894 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ[3] (9)
13,542 ดอลล่าร์สหรัฐ[3]
จีนี (2551)42.3[4]
ข้อผิดพลาด: ค่าจีนีไม่ถูกต้อง
เอชดีไอ (2554)เพิ่มขึ้น 0.755[5]
ข้อผิดพลาด: ค่า HDI ไม่ถูกต้อง · 66
สกุลเงินรูเบิล (RUB)
เขตเวลาUTC+2 ถึง +12
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+3 ถึง +13
รหัสโทรศัพท์+7
โดเมนบนสุด.ru, .su, .рф

ประเทศรัสเซีย มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัสเซีย (รัสเซีย: Россия, อักษรโรมัน: รอสสิยา, สัทอักษรสากล: [rɐˈsʲijə] ) และ สหพันธรัฐรัสเซีย (รัสเซีย: รอสสิสคายา เฟเดราซิยา, อักษรโรมัน: Rossiyskaya Federatsiya, สัทอักษรสากล: [rɐˈsʲijskəjə fʲɪdʲɪˈratsɨjə] ) ทั้งสองชื่อ[6] เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด รัสเซียยังเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีประชากร 143 ล้านคน[7][8] รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง ไล่จากตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียมีพรมแดนติดกับนอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ (ทั้งสองผ่านมณฑลคาลินินกราด) เบลารุส ยูเครน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน จีน มองโกเลียและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับญี่ปุ่นโดยทะเลโอฮอตสก์ และสหรัฐอเมริกาโดยช่องแคบแบริง อาณาเขตของรัสเซียกินเอเชียเหนือทั้งหมดและ 40% ของยุโรป แผ่ข้ามเก้าเขตเวลาและมีสิ่งแวดล้อมและธรณีสัณฐานหลากหลาย รัสเซียมีปริมาณทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก[9] และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก[10] เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก[11] รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลกและทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก[12]

ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8[13] รัฐรุสในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์[14] เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า[14] ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน[15] อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ[16][17]

หลังการปฏิวัติรัสเซีย รัสเซียกลายมาเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ[18] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง[19][20] สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับเป็นสภาพบุคคลสืบทอดจากสหภาพโซเวียต[21]

รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจจัดอันดับรัสเซียเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกใน พ.ศ. 2554 ขึ้นจากอันดับที่ 10 ใน พ.ศ. 2553 รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก[22] รัสเซียเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิกจี 8 จี 20 สภายุโรปและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ประชาคมเศรษฐกิจยูเรเซีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช

ภูมิศาสตร์

ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา[23] รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[12] และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"[24] เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น[24] รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก[25]

พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป

รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน[26] นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียนตะวันออก ทะเลชุคชี ทะเลเบริง ทะเลโอคอตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร

ประวัติศาสตร์

ยุคแห่งการตั้งอาณาจักร

ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถื่นฐานในรัสเซีย บริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักในนามวาแรนเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วในปี ค.ศ.880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟ และได้ตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนเหนือและใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus')

ในปี ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสต์จักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่นๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือเครมลินขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า มอสโก

อาณาจักรมัสโควี

ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกล นำโดยบาตูข่าน เข้ารุกรานรัสเซีย และยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดจากโลกภายนอก ถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และต้องจ่ายภาษีให้กับมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจมาทางตอนเหนือ

ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่า lvan kalita หรืออีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการให้มองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) มองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมีตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโว บนฝั่งแม่น้ำดอน ในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดีมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาวในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382

จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเคนมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย

ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับสถาปนาเป็นซาร์พระองค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่าทรงรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก เมื่อหมดยุคของพระเจ้าอีวานที่ 4 ในปี ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริก และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ก็มีมติเลือกมิคาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

จักรวรรดิรัสเซีย

ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยในปีค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย

ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลล์ที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนื่องจากพระองค์ทรงปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลายล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดนกรรมการชาวนาในปี 1905 ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน

สมัยสหภาพโซเวียต

การตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)

ปี ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้

ปี ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22

ปี ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยกา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลาสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่างๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation)

สหพันธรัฐรัสเซีย

บอริส เยลต์ซินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสรีตลาดและการค้า[27] และยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ชอคบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำ[28] ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดีพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538[29]

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งมีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่[30] ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจนำไปสู่การล่มสลายของบริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุ่งทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยู่ในภาวะยาจน จากระดับความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลาง พ.ศ. 2536[31] คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายสุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง[32]

คริสต์ทศวรรษ 1990 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ท้องถิ่นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่อการร้ายต่อพลเรือน ที่มีชื่อเสีงที่สุด คือ วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกความสนใจจากทั่วโลก

รัสเซียยอมรับความรับผิดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภาพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น[33] การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงินรัสเซีย พ.ศ. 2541[34] และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก[27]

วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตินปราบปรามการก่อกบฏเชเชน แม้ความรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคอเคซัสเหนือ ราคาน้ำมันที่สูงและเงินตราที่เดิมอ่อนค่าเกิดขึ้นหลังอุปสงค์ภายในที่เพิ่มขึ้น การบริโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นเก้าปีติดต่อกัน ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มอิทธิพลของรัสเซียในเวทีโลก[35] แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยทั่วไปมักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[36] แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย[37]

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี

การเมืองการปกครอง

หลังจากวิกฤติทางการเมืองในปี 1993 รัสเซียมีการออกรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยประชามติในวันที่ 12 ธันวาคม 1993 และเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัสเซียเป็นสหพันธรัฐซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุข[38] และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล สหพันธรัฐรัสเซียปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน รัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจบริหาร[39] ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือนายดมีตรี เมดเวเดฟ

การแบ่งเขตการปกครอง

เขตการปกครองของสหพันธรัฐรัสเซีย

ประเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น

  • เขตสหพันธ์ (federal districts)
  • สาธารณรัฐ (Republics - respubliki )
  • ดินแดน (Territories - kraya )
  • แคว้น (Provinces - oblasti )
  • นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda )
  • แคว้นปกครองตนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast )
  • เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga )

การต่างประเทศ

กองทัพ

กองทัพบก

กองทัพอากาศ

กองทัพเรือรัสเซีย

กองกำลังกึ่งทหาร

ประชากร

สัดส่วนของเชื้อชาติ (ค.ศ. 2002)[40]
ชาวรัสเซีย 79.8%
ทาทาร์ 3.8%
ชาวยูเครน 2.0%
ชูวาช 1.1%
เชเชน 0.9%
ชาวอาร์เมเนีย 0.8%
อื่น ๆ/ไม่ระบุ 10.3%
จำนวนประชากรระหว่าง ค.ศ. 1991-2009 (ล้านคน)[41]

จากการประมาณวันที่ 1 มกราคม 2008 ประเทศรัสเซียมีประชากร 142 ล้านคน จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสตทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการเกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007[42] เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป[43]) แต่ประชากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน[42] เมื่อเที่ยบกับอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 คน[44]) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ[45] รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน[46] กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียคาดการณ์ว่าอัตราการตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011[46]

ประชากรส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายรัสเซียนออร์ทอดอกซ์ รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น

เศรษฐกิจ

รัสเซียเป็นแหล่งน้ำมันปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติที่สำคัญของยุโรป[47]

รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางการเงินในปี 1998 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง[26] ในปี 2007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก[48] (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ[48]) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008[49] ชาวรัสเซียที่ยากจนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2007[50] ซึ่งลดลงอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูงสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย[31] อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007[51][52] การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขยายตัวหลายเท่า[53]

รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก[54] มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก[55] รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง[56] และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก[54] น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด[26][57]แต่หลังปี 2003 การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงขึ้นมาก แต่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีดีพี และรัฐบาลคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ภายในปี 2011[58] รัสเซียยังนับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอื่น ๆ[53] รัสเซียมีจำนวนประชากรที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามากกว่าประเทศอื่นในทวีปยุโรป[59]

ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนลดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น[60] รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงดูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากการสำรวจในปี 2007[61][62] งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปี 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในการจ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำให้รัสเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก[63] รัสเซียยังสามารถลดหนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก[64]

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมอสโกเป็นเขตที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากที่สุด[65]

วัฒนธรรม

ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 70) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก (ร้อยละ 1.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)

การศึกษา

การท่องเที่ยว

กีฬา

วันหยุด

วันที่ ชื่อ ชื่อภาษาท้องถิ่น ภาษารัสเซีย อักษรซีริลลิก หมายเหตุ
1 มกราคม วันปีใหม่ Новый год (Novy god) Новогодние каникулы (Novogodniye kanikuly)
7 มกราคม วันคริสต์มาส Rozhdestvo Khristovo Рождество Христово วันคริสต์มาสตามนิกายออเทอร์ดอกซ์
13 มกราคม วันปีใหม่เดิมของรัสเซีย (Old-Calendar New Year) Старый-Новый год Календарь ชาวรัสเซียเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 13 ด้วย อันเนื่องมาจากยึดตามปฏิทินเก่า
23 กุมภาพันธ์ วันกองทหารแห่งโซเวียด (Homeland Defender’s Day) Den zashchitnika Otechestva День Защитника Отечества เพื่อรำลึกการก่อตั้ง กองทัพแดง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1918 ขณะนี้รัสเซียเรียกวันนี้ว่า "วันผู้รักษามาตุภูมิ" День Советской Армии и Военно-Морского Флота (yen' Sovyetskoy Armii i Voyenno-Morskogo flota) และ ในปี ค.ศ. 1923 ผู้ชายทุกคนในรัสเซียถูกเรียกให้รายงานตัวเข้าประจำการกองทัพแดง เพื่อเข้าร่วมสงครามต่อต้านทหารเยอรมัน
8 มีนาคม วันสตรีสากล Восьмое марта (Vosmoe marta) Международный Женский День วันหยุดสากลให้แก่ความเท่าเทียมทางเพศแก่สตรี
12 เมษายน วันนักบินอวกาศ (Day of Cosmonautics) День Космонавтики คือวันที่ยูริ กาการินเป็นมนุษย์คนแรกได้ขึ้นไปในห้วงอวกาศ ในปีพ.ศ. 2504. ไม่ใช่วันหยุดประจำชาติในรัสเซีย.
1 พฤษภาคม วันแรงงานสากล Первое Мая (May Day) День Солидарности Трудящихся ("International Day of Worker's Solidarity") มีการฉลองอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 2 พฤษภาคม. หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันแรงงานและเฉลิมฉลองเข้าสู่ฤดูใบไม้พลิ."
9 พฤษภาคม ชัยชนะเหนือเยอรมนี (Victory Day) Den Pobedy День Победы วันสิ้นสุดของมหาสงครามของผู้รักชาติ ซึ่งกองทัพแดง,เอาชนะนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2, พ.ศ. 2488
12 มิถุนายน วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) День России (Den Rossii) день независимости เป็นวันที่ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ประกาศตั้งประเทศรัสเซียออกจากสหภาพโซเวียตเป็นประเทศใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2537 และวันนี้ถือว่าเป็นวันหยุดราชการของรัสเซียเช่นกัน
1 กันยายน วันแห่งความรู้ (Knowledge Day) день знаний วันแรกของปีการศึกษาในทุกโรงเรียนและทุกภูมิภาคของรัสเซีย เด็กนักเรียนจะไปโรงเรียนพร้อมกับดอกไม้เพื่อมอบให้ครู ไม่ใช่วันหยุดประจำชาติในรัสเซีย.
4 พฤศจิกายน วันเอกภาพแห่งมวลชน (People’s Unity Day) Den narodnogo edinstva День Народного единства เป็นวันที่มีการรวมตัวกัน ของชาวมอสโกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา และสถานะในสังคมเพื่อทำการต่อต้าน การรุกรานของโปแลนด์ที่เข้ามาในปี ค.ศ. 1612
7 พฤศจิกายน การปฏิวัติสังคมนิยมในสหภาพโซเวียต Седьмое ноября Годовщина Великой Октябрьской социалистической революции การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 День Примирения и Согласия ; ซึ่งเรียกวันนี้ว่า День Примирения и Согласия ("Day of Reconciliation and Agreement") และมีการฉลองอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน. แต่หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี พ.ศ. 2534 การเฉลิมฉลองก็เริ่มลดน้อยลง แต่วันนี้ก็ยังคงถือเป็นวันหยุดราชการอยู่ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2548 ได้มีประกาศยกเลิกให้เป็นวันหยุดราชการ และเปลี่ยนวันหยุดราชการมาเป็นวันที่ 4 พฤศจิกายน แทน.
12 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ (Constitution Day) День Конституции เป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสหพันธรัฐรัสเซียในปี พ.ศ. 2536 (เนื่องจากรัฐธรรมนูญเดิมที่ใช้มาก่อนหน้านี้เป็นของรัฐบาลสหภาพโซเวียต)

นอกจากนี้ชาวรัสเซียชื่นชอบวันหยุดเฉลิมฉลองมาก ปัจจุบันนี้ วันสำคัญอื่นๆ ที่ชาวโลกฉลอง ชาวรัสเซียก็ร่วมเฉลิมฉลองด้วยกัน เช่น วันวาเลนไทน์ วันคริสต์มาส (ทั้งคาทอลิกและออร์โธดอกส์) เช่น วันที่ 1 เมษายน หรือที่เรียกว่าวันแห่งการหัวเราะ (April’s fools day) หรือจะเป็นวันฮอลโลวีน ฯลฯ วันหยุดของรัสเซียหากตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะมีการหยุดชดเชยเช่นเดียวกันกับในประเทศไทย ช่วงวันหยุดยาว เช่น เทศกาลปีใหม่ ชาวรัสเซียมักจะเดินทางไปต่างประเทศหรือต่างเมืองและพักผ่อน ส่วนวันหยุดอื่นๆ คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาเพื่อเดินทางไปดาช่า (Dasha) หรือบ้านพักต่างอากาศนอกเมืองเพื่อชื่นชมธรรมชาติ[66]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 "The World Factbook: Russia". CIA. กรกฎาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 11 ส.ค. 2555. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help) (อังกฤษ)
  2. "สำมะโนประชากรปี 2010". รัฐบาลรัสเซีย. สืบค้นเมื่อ 11 ส.ค. 2555. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help) (รัสเซีย)
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 "Russia". International Monetary Fund. {{cite web}}: |access-date= ต้องการ |url= (help); |url= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2011/02/weodata/weorept.aspx?sy= ถูกละเว้น (help)
  4. "Distribution of family income – Gini index". The World Factbook. CIA. สืบค้นเมื่อ 13 January 2011.
  5. "2011 Human development Report" (PDF). United Nations Development Programme. pp. 148–151. สืบค้นเมื่อ 5 November 2011.
  6. "ชื่อสหพันธรัฐรัสเซียและรัสเซียจักเสมอกัน". "The Constitution of the Russian Federation". (Article 1). สืบค้นเมื่อ 25 June 2009.
  7. Russian Federal State Statistics Service (2011). "Всероссийская перепись населения 2010 года. Том 1" [2010 All-Russian Population Census, vol. 1]. Всероссийская перепись населения 2010 года (2010 All-Russia Population Census) (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ June 29, 2012.
  8. "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 Jan. 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  9. "Commission of the Russian Federation for UNESCO: Panorama of Russia". Unesco.ru. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
  10. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ cia-gas
  11. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ cia-oil
  12. 12.0 12.1 Library of Congress. "Topography and drainage". สืบค้นเมื่อ 26 Dec. 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "loc" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  13. "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 Jan. 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  14. 14.0 14.1 Excerpted from Glenn E. Curtis (ed.) (1998). "Russia: A Country Study: Kievan Rus' and Mongol Periods". Washington, DC: Federal Research Division of the Library of Congress. สืบค้นเมื่อ 20 Jul. 2007. {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  15. The Mongol empire: its rise and legacy, By Michael Prawdin, Gérard Chaliand, (2005) page 512-550
  16. Rein Taagepera (September 1997). "Expansion and Contraction Patterns of Large Polities: Context for Russia". International Studies Quarterly. 41 (3): 475–504. doi:10.1111/0020-8833.00053.
  17. Peter Turchin, Thomas D. Hall and Jonathan M. Adams, "East-West Orientation of Historical Empires", Journal of World-Systems Research Vol. 12 (no. 2), pp. 219–229 (2006).
  18. Superpower politics: change in the United States and the Soviet Union Books.Google.com
  19. Weinberg, G.L. (1995). A World at Arms: A Global History of World War II. Cambridge University Press. p. 264. ISBN 0521558794.
  20. Rozhnov, Konstantin, Who won World War II?. BBC.
  21. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ uk
  22. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ fas
  23. World Time Zone: Russia
  24. 24.0 24.1 Walsh, Nick Paton. "It's Europe's lungs and home to many rare species. But to Russia it's £100bn of wood". Guardian (UK). สืบค้นเมื่อ 2009-01-17.
  25. Fish Industry of Russia — Production, Trade, Markets and Investment. Eurofish, Copenhagen, Denmark. 2006. p. 211. สืบค้นเมื่อ 2007-12-26. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
  26. 26.0 26.1 26.2 "The World Factbook: Russia". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
  27. 27.0 27.1 "Russian Federation" (PDF). Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 24 Feb. 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  28. Sciolino, E. (21 Dec. 1993). "U.S. is abandoning 'shock therapy' for the Russians". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 20 Jan. 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  29. "Russia: Clawing Its Way Back to Life (int'l edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 Dec. 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  30. "Russia: Clawing Its Way Back to Life (int'l edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 Dec. 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  31. 31.0 31.1 Branko Milanovic (1998). Income, Inequality, and Poverty During the Transformation from Planned to Market Economy. The World Bank. pp. 186–189. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "worldbank" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  32. Jason Bush (19 October 2006). "What's Behind Russia's Crime Wave?". BusinessWeek Journal.
  33. "Russia pays off USSR's entire debt, sets to become crediting country". Pravda.ru. สืบค้นเมื่อ 27 Dec. 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  34. Aslund A. "Russia's Capitalist Revolution" (PDF). สืบค้นเมื่อ 28 Mar. 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  35. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ cia
  36. Treisman, D. "Is Russia's Experiment with Democracy Over?". UCLA International Institute. สืบค้นเมื่อ 31 Dec. 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  37. Stone, N (4 Dec. 2007). "No wonder they like Putin". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 31 Dec. 2007. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  38. "The Constitution of the Russia Federation: Article 80". สืบค้นเมื่อ 2009-01-09.
  39. "The Constitution of the Russia Federation: Article 110". สืบค้นเมื่อ 2009-01-09.
  40. "Russian Census of 2002". 4.1. National composition of population. Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-01-16.
  41. "Demographics". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-1-15. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  42. 42.0 42.1 "Demography". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
  43. The World Factbook. "Rank Order — Birth rate". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  44. The World Factbook. "Rank Order — Death rate". Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  45. "The incredible shrinking people". The Economist. 2008-11-27.
  46. 46.0 46.1 "Russia's birth, mortality rates to equal by 2011 - ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-02-10.
  47. The City Built on Oil: EU-Russia Summit Visits Siberia's Boomtown, Spiegel
  48. 48.0 48.1 "Gross domestic product 2007, PPP" (PDF). The World Bank. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
  49. "Russians weigh an enigma with Putin's protégé". MSNBC. สืบค้นเมื่อ 2009-01-10.
  50. "Russia's economy under Vladimir Putin: achievements and failures". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
  51. "Russia's unemployment rate down 10% in 2007 - report". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
  52. "Russia — Unemployment rate (%)". indexmundi.com. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
  53. 53.0 53.1 Jason Bush (2006-12-07). "Russia: How Long Can The Fun Last?". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2009-01-13.
  54. 54.0 54.1 "Russia Key facts: Energy". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
  55. "Rank Order - Oil - proved reserves". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
  56. "Rank Order - Natural gas - exports". CIA. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
  57. "Russia Factsheet". The Economist. 2008-12-16.
  58. "Russia fixed asset investment to reach $370 bln by 2010 - Kudrin". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  59. "CEE Biweekly (page 6)" (PDF). UNESCO Institute for Statistics, UniCredit New Europe Research Network. สืบค้นเมื่อ 2008-03-28.
  60. Tavernise, Sabrina (23 March 2002). "Russia Imposes Flat Tax on Income, and Its Coffers Swell". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  61. Rabushka, Alvin. "The Flat Tax at Work in Russia: Year Three". Hoover Institution. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  62. "Global personal taxation comparison survey – market rankings". Mercer (consulting firms). สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  63. "International Reserves of the Russian Federation in 2008". The Central Bank of the Russian Federation. สืบค้นเมื่อ 2008-07-30.
  64. "Russia's foreign debt down 31.3% in Q3—finance ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
  65. "Gross regional product by federal subjects of the Russian Federation 1998–2006". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-06-30. (รัสเซีย)
  66. "วันหยุดสำคัญของรัสเซีย". สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.

แหล่งอื่น

แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link GA ak:Russia