ฟรีดริช เพาลุส
ฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม แอ็นสท์ เพาลุส | |
---|---|
จอมพลฟรีดริช เพาลุส ในเครื่องแบบพลเอก (มิถุนายน ค.ศ. 1942) | |
เกิด | 23 กันยายน 1890 กุคส์ฮาเกิน, จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 1 กุมภาพันธ์ 1957 เดรสเดิน เยอรมนีตะวันออก |
รับใช้ | เยอรมนี (ถึง 1918) เยอรมนี (ถึง 1933) ไรช์เยอรมัน (ถึง 1943) เยอรมนีตะวันออก |
ประจำการ | 1910 - 1943 |
ชั้นยศ | จอมพล |
บังคับบัญชา | กองทัพที่ 6 |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
|
บำเหน็จ | กางเขนอัศวินติดใบโอ็ค |
ลายมือชื่อ |
ฟรีดริช วิลเฮ็ล์ม แอ็นสท์ เพาลุส (เยอรมัน: Friedrich Wilhelm Ernst Paulus; 23 กันยายน 1890 - 1 กุมภาพันธ์ 1957) เป็นจอมพลชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับการยอมจำนนของเขาของกองทัพเยอรมันที่ 6 ในช่วงยุทธการที่สตาลินกราด (กรกฎาคม ค.ศ. 1942 ถึง กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943) การสู้รบได้ยุติลงด้วยความพินาศย่อยยับสำหรับแวร์มัคท์ เมื่อกองทัพโซเวียตได้ทำการโอบล้อมเยอรมันภายในเมือง ได้นำไปสู่กองกำลังส่วนใหญ่ที่มีจำนวนถึง 265,000 นายของกองทัพที่ 6 ประเทศพันธมิตรฝ่ายอักษะ และเหล่าผู้ให้ความร่วมมือต่างต้องเผชิญหน้ากับความตายหรือถูกจับกุมในที่สุด
เพารุสได้เข้าสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และแสดงให้เห็นถึงวีรกรรมในฝรั่งเศสและคาบสมุทรบอลข่าน เขาถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่นายทหารที่มีแวว เมื่อถึงช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองได้ปะทุขึ้น เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งยศเป็นพลตรี เพาลุสได้มีส่วนร่วมในการรุกรานโปแลนด์และกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ ภายหลังจากนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าเสนาธิการกองทัพบกเยอรมัน ในฐานะหน้าที่ดังกล่าว เพารุสได้ให้ความช่วยเหลือในการวางแผนการรุกรานสหภาพโซเวียต
เพารุสได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการในกองทัพที่ 6 แม้ว่าเขาจะขาดประสบการณ์ทางภาคสนามก็ตาม เขาได้รุกไปยังสตาลินกราด แต่กลับถูกตัดขาดและโอบล้อมในการรุกตอบโต้กลับของโซเวียตในเวลาต่อมา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งห้ามตีฝ่าวงล้อมหรือยอมจำนน และการป้องกันของเยอรมันก็ค่อย ๆ ลดลง เพารุสได้ยอมจำนนในสตาลินกราด เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1943 ในวันเดียวกับที่ฮิตเลอร์ได้แจ้งการเลื่อนยศเป็นจอมพล ฮิตเลอร์ได้คาดหวังให้เพารุสปลิดชีวิตตนเอง เห็นได้จากการที่ไม่เคยมีจอมพลเยอรมันคนใดเคยถูกจับเป็น
ขณะที่เพสลุสอยู่ในการควบคุมตัวของสหภาพโซเวียต เพาลุสกลายมาเป็นนักวิจารณ์ระบอบนาซีและเข้าร่วมคณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการปลดปล่อยเยอรมนีซึ่งสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุน ใน ค.ศ. 1953 เพารุสได้ย้ายไปยังเยอรมนีตะวันออก ซึ่งได้ทำงานในการวิจัยประวัติศาสตร์การทหาร เขาได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาในเดรสเดิน
ภูมิหลัง
[แก้]ฟรีดริช เพาลุส เป็นบุตรของเหรัญญิก เกิดที่กุคส์ฮาเกิน (Guxhagen) และเติบโตที่คัสเซิล (Kassel)[1] ในตอนแรกเขาสมัครเข้าโรงเรียนนายเรือจักรวรรดิเยอรมัน แต่ถูกปฏิเสธ เขาจึงเข้าเรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยมัคเดอบวร์ค เขาเรียนได้เพียงหนึ่งภาคเรียนก็ลาาอก แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 1910 สมัครเป็นนักเรียนนายร้อย (Fahnenjunker) ในกรมทหารราบที่ 111
ยศทหาร
[แก้]- ตุลาคม 1910 : นักเรียนทำการนายร้อย (Fähnrich)
- สิงหาคม 1911 : ร้อยตรี (Leutnant)
- สิงหาคม 1915 : ร้อยโท (Oberleutnant)
- กันยายน 1918 : ร้อยเอก (Hauptman)
- กุมภาพันธ์ 1929 : พันตรี (Major)
- มิถุนายน 1933 : พันโท (Oberstleutnant)
- มิถุนายน 1935 : พันเอก (Oberst)
- มกราคม 1939 : พลตรี (Generalmajor)
- สิงหาคม 1940 : พลโท (Generalleutnant)
- มกราคม 1942 : พลเอกทหารยานเกราะ (General der Panzertruppe)
- พฤศจิกายน 1942 : พลเอกอาวุโส (Generaloberst)
- มกราคม 1943 : จอมพล (Generalfeldmarschall)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Königlich Preußischer Staatsdienst-Kalender für den Regierungsbezirk Cassel auf das Jahr 1890/91. Reformirtes Waisenhaus, Cassel 1891, p. 249 (Corrections- und Landarmen-Anstalt zu Breitenau. ORKA).