วัลเทอร์ โมเดิล
วัลเทอร์ โมเดิล | |
---|---|
ชื่อเกิด | อ็อทโท โมริทซ์ วัลเทอร์ โมเดิล |
ชื่อเล่น | Master of Defence, Lion of Defence, The Saviour of the Eastern Font, Führer's Fireman, The Frontline Pig |
เกิด | 24 มกราคม ค.ศ. 1891 |
เสียชีวิต | 21 เมษายน ค.ศ. 1945 | (54 ปี)
รับใช้ |
|
ประจำการ | 1910–1945 |
ชั้นยศ | จอมพล |
บังคับบัญชา |
|
การยุทธ์ | ดูรายชื่อ
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง |
บำเหน็จ | |
ลายมือชื่อ |
อ็อทโท โมริทซ์ วัลเทอร์ โมเดิล (เยอรมัน: Otto Moritz Walter Model) เป็นนายทหารบกชาวเยอรมันในสงครามโลกทั้งสองครั้ง เขามีชื่อเสียงในการรบป้องกันในช่วงครึ่งหลังของสงครามครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ในแนวรบตะวันออกแต่อยู่ในด้านตะตะวันตก เขาได้ถูกเรียกว่า ผู้บัญชาการยุทธวิธีป้องกันที่ดีที่สุดของไรช์ที่สาม
ในช่วงปลายสงคราม โมเดิลได้ล้มเหลวในป้องกันการบุกเข้าสู่เยอรมนีของกองทัพสัมพันธมิตรในด้านตะวันตกและกองทัพของเขาถูกล้อมอย่างสิ้นเชิงในรัวร์ เขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับนำตัวไปพิจารณาคดีในข้อหาอาชญากรสงครามเมื่อ 21 เมษายน ค.ศ. 1945
ช่วงชีวิตแรกและอาชีพ
[แก้]การตัดสินใจของโมเดิลในการเผาทำลายเอกสารส่วนตัวทั้งหมดของเขาเมื่อสงครามใกล้จะยุติลง ซึ่งหมายความว่าไม่ค่อยมีใครรู้จักเกี่ยวกับช่วงชีวิตแรกของเขา เขาเกิดในบ้านครูสอนดนตรีในเมือง Genthin จังหวัดแซ็กโซนี เขาเป็นคนชนชั้นกลาง ซึ่งครอบครัวของเขาที่ไม่ใช่ทหาร ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ Bürgerschule (โรงเรียนพลเมือง) ใน Genthin เขาได้จบการศึกษาด้วยวุฒิการศึกษาระดับอบิทัวร์ (Abitur) จาก Domgymnasium Naumburg โรงเรียนการสอนระดับมัธยมที่เน้นการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์ในช่วงวันเทศกาลอีสเตอร์ ค.ศ. 1909 เขาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนักเรียนนายร้อยทหารบก (Kriegsschule) ใน Neisse (ปัจจุบันคือ นือซา ประเทศโปแลนด์) ใน ค.ศ. 1909 ซึ่งที่นั่นเขาได้เป็นนักศึกษาที่ไม่ได้ดีเด่นมากนัก และได้รับมอบหมายหน้าที่ด้วยยศตำแหน่งเป็น ร้อยโท (Leutnant) ในกรมทหารราบที่ 52 ฟ็อน อัลเฟนส์เลเบินใน ค.ศ. 1910 เขามีเพื่อนสหายเพียงไม่กี่คนในท่ามกลางหมู่เพื่อนเจ้าหน้าที่ของเขาและในไม่ช้าก็กลายเป็นที่รู้จักกันในเรื่องความทะเยอทะยาน แรงผลักดัน และการพูดจาโผงผางของเขา นี่เป็นลักษณะเฉพาะที่บ่งบอกถึงอาชีพการงานของเขาทั้งหมด[1]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
[แก้]ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กรมทหารราบที่ 52 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองพลที่ 5 ซึ่งต่อสู้รบในแนวรบด้านตะวันตก โมเดิลได้ทำหน้าที่เป็นนายทหารผู้ช่วยของกรมทหารราบของเขาในกองพันที่ 1 ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1915 เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสใกล้กับเมืองอารัส และในเดือนตุลาคม เขาได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก ชั้นที่หนึ่ง วีรกรรมของเขาได้นำเขาเข้าสู่ความสนใจของผู้บัญชาการกองพล ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีกังวลเรื่องที่ว่า "ผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าอึดอัด"ก็ตาม การแนะนำฝากฝังโมเดิลในการติดป้ายประกาศของคณะเสนาธิการใหญ่ของกองทัพเยอรมัน ด้วยเหนือสิ่งอื่นใด นี่หมายความว่าโมเดิลได้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงเริ่มต้นของยุทธการที่แวร์เดิงและรอดพ้นจากการถูกสังหารในยุทธการที่แม่น้ำซอม ซึ่งกองพลของเขาได้เข้าร่วมรบโดยที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย[1][2]
โมเดิลได้จบหลักสูตรเจ้าหน้าที่เสนาธิการทหารบกในระยะเวลาสั้น ๆ และถูกส่งกลับไปยังกองพลที่ 5 ในตำแหน่งนายทหารผู้ช่วยของกองพลน้อยที่ 10 ตามมาด้วยในการติดป้ายประกาศในการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองร้องทั้งในกรมทหารราบที่ 52 และไลฟ์ แกรนาเดียร์ที่ 8 เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งยศร้อยเอก ในพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 และใน ค.ศ. 1918 ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่เสนาธิการแห่งกองพลการ์ดเออร์ซัตซ์ ซึ่งได้เข้าต่อสู้รบในการรุกฤดูใบไม้ผลิของเยอรมันในปีนั้น เขาได้ยุติสงครามพร้อมกับกองพลสำรองที่ 36[3]
ช่วงปีระหว่างสงคราม
[แก้]เมื่อสงครามยุติลง โมเดิลได้มีชื่อเสียงในฐานะเจ้าหน้าที่นายทหารที่มีความสามารถพร้อมด้วยศักยภาพสูง ในช่วงต้นของอาชีพทหารของเขา โมเดิลได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนายพลปรัสเซียนามว่า เอากุสท์ ไนท์ฮาร์ท ฟ็อน กไนเซอเนา นอกจากนี้ เขายังเป็นที่รู้จักของพลเอกฮันส์ ฟ็อน เซคท์ หัวหน้าของกองกำลังไรชส์แวร์ที่ดูด้อยลง จากการติดป้ายประกาศเสนาธิการของเขาในช่วงสงคราม และเขาได้รับอุปกรณ์ด้วยการอ้างอิงที่ดีเยี่ยมจากพลตรี Franz von Rantau ผู้บัญชาการแห่งกองพลสำรองที่ 36 จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาได้เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่นายทหาร 4,000 นายที่ถูกสงวนเอาไว้ในไรชส์แวร์ โมเดิลโดยทั่วไปมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในช่วงที่เกิดความวุ่นวายซึ่งเป็นจุดกำเนิดของสาธารณรัฐไวมาร์ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่นายทหารแห่งกองทัพบก เขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามอันนองเลือดของการก่อการกำเริบของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ค.ศ. 1920 ในรัวร์[ต้องการอ้างอิง]
ปีต่อมา เขาได้แต่งงานกับ แฮร์ทา ฮูสเซิน (Herta Huyssen) มีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ คริสทา, เฮ็ลลา, และฮันส์เกออร์ค โมเดิลเกลียดเรื่องราวสงครามและไม่เคยคุยเรื่องการเมืองหรือสงครามกับภรรยาของเขาเลย[4]
ในปี 1925 โมเดิลได้ถูกส่งไปยังกองพลทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นรูปแบบทหารระดับหัวกะทิของไรชส์แวร์ และหนึ่งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมากในการทดสอบนวัตกรรมทางเทคนิดของยุคสมัยนั้น ตั้งแต่ปี 1928 เขาได้บรรยายเรื่องยุทธวิธีและการศึกษาสงครามสำหรับหลักสูตรการฝึกอบรมเสนาธิการทหารทั่วไปแบบขั้นพื้นฐาน และในปี 1930 เขาได้ถูกย้ายไปยังสาขาการฝึกอบรมของ Truppenamt เขากลายเป็นที่รู้จักกันทั้งในด้านการสนับสนุนทางทหารที่มีความทันสมัยอย่างมีศรัทธาแรงกล้าและการขาดไหวพริบอย่างสมบูรณ์ ในปี 1938 ปีนั้นที่เขาได้รับยศตำแหน่งเป็น พลตรี(Generalmajor) เขาได้นำการทดสองการยิงปืนใหญ่หนักฮาวอิตเซอร์รุ่น Mörser 18 ใส่เป้าหมายที่เป็นป้อมปราการแบบจำลองของเช็กซึ่งไม่ได้ทำให้ฮิตเลอร์ประทับใจ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่นายทหารหลายคนในช่วงเวลานั้น โมเดิลได้สนับสนุนแก่รัฐบาลนาซี ช่วงเวลาของเขาในกรุงเบอร์ลินทำให้เขาได้ติดต่อกับสมาชิกระดับอาวุโสของระบอบนาซี ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเกิบเบิลส์และชแปร์ที่กำลังก่อตัวขึ้นในช่วงสงคราม[5]
สงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยศทหาร
[แก้]- พฤศจิกายน 1909: นักเรียนทำการนายร้อย (Fähnrich)
- สิงหาคม 1910: ร้อยตรี (Leutnant)
- กุมภาพันธ์ 1915: ร้อยโท (Oberleutnant)
- ธันวาคม 1917: ร้อยเอก (Hauptman)
- ตุลาคม 1929: พันตรี (Major)
- พฤศจิกายน 1932: พันโท (Oberstleutnant)
- ตุลาคม 1934: พันเอก (Oberst)
- มีนาคม 1938: พลตรี (Generalmajor)
- เมษายน 1940: พลโท (Generalleutnant)
- ตุลาคม 1941: พลเอกทหารยานเกราะ (General der Panzertruppe)
- กุมภาพันธ์ 1942: พลเอกอาวุโส (Generaloberst)
- มีนาคม 1944: จอมพล (Generalfeldmarschall)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 D'Este 1989, p. 320.
- ↑ Newton 2006, pp. 27–28.
- ↑ Stockert 1996, p. 356.
- ↑ D'Este 1989, p. 321.
- ↑ Stein 2001, pp. 222–223.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Walter Model 1891–1945". LeMO at Deutsches Historisches Museum (ภาษาเยอรมัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2016.
ก่อนหน้า | วัลเทอร์ โมเดิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จอมพล เกออร์ค ฟ็อน คึชเลอร์ | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพเหนือ (9 มกราคม – 31 มีนาคม 1944) |
พลเอกอาวุโส เกออร์ค ลินเดอมัน | ||
ไม่มี | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพยูเครนเหนือ (31 มีนาคม 1944 – 16 สิงหาคม 1944) |
พลเอกอาวุโส โยเซ็ฟ ฮาร์เพอ | ||
จอมพล แอ็นสท์ บุช | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพกลาง (28 มิถุนายน – 16 สิงหาคม 1944) |
พลเอกอาวุโส เกออร์ค ฮันส์ ไรน์ฮาร์ท | ||
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ | ผู้บัญชาการใหญ่ตะวันตก (รักษาการแทน) (16 สิงหาคม 1944 – 3 กันยายน 1944) |
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท | ||
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ B (17 สิงหาคม 1944 – 21 เมษายน 1945) |
ไม่มี |