ห้ามถาม ห้ามบอก
ห้ามถาม ห้ามบอก | |
---|---|
ประธานาธิบดีบิล คลินตัน กล่าวถึงมาตรการเกี่ยวกับการรักร่วมเพศในการทหาร | |
วางแผนเมื่อ | กระทรวงกลาโหมสหรัฐ Directive 1304.26 |
โดย | ผู้บริหารของคลินตัน |
ผู้บังคับบัญชา | บิล คลินตัน |
วันที่ | 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1994 – 20 กันยายน ค.ศ.2011 |
ผู้ลงมือ | เลส แอสปิน |
ผลลัพธ์ | การบริการทางทหารของเกย์, ผู้รักร่วมสองเพศ และเลสเบียน |
ห้ามถาม ห้ามบอก (อังกฤษ: Don't ask, don't tell ย่อว่า DADT) เป็นคำที่หมายถึงนโยบายที่ห้ามเกย์ เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวลที่เปิดเผยตัว เข้าร่วมกองทัพอเมริกัน อยู่ในประชุมกฎหมายมหาชนที่ 103-160 (ประมวลกฎหมายสหรัฐอเมริกา ลักษณะ 10 มาตรา 654)[1] โดยมีนโยบายห้ามบุคคลใดก็ตาม ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้รักร่วมเพศหรือรักร่วมสองเพศ ในขณะที่ปฏิบัติงานในกองทัพสหรัฐอเมริกา เปิดเผยลักษณะรสนิยมทางเพศของตนเอง โดยการพูดหรือเปิดเผยถึงความสัมพันธ์รักร่วมเพศ การแต่งงานกับเพศเดียวกัน ด้วยเหตุเพราะว่า จะเป็นการสร้างปัญหาที่ไม่สามารถยอมรับได้กับมาตรฐานระดับสูงด้านคติธรรม ความเป็นระเบียบและวินัย และการทำงานร่วมกันเป็นหน่วยที่เป็นสาระสำคัญของกองทัพ
ในส่วนของหลักการ ห้ามถาม ห้ามบอก ระบุว่า ส่วน "ห้ามถาม" ของนโยบายหมายถึง ผู้บังคับบัญชาไม่ควรเริ่มต้นการสืบสวนรสนิยมทางเพศของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ถูกห้าม ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือจนสามารถเริ่มการสืบสวนได้ การละเมิดส่วนดังกล่าวโดยการสืบสวนที่ไม่ได้รับมอบอำนาจและการข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องสงสัยส่งผลให้มีการวางกฎเกณฑ์ปัจจุบันของนโยบายว่า "ห้ามถาม ห้ามบอก ห้ามตามล่า ห้ามข่มขู่"[2]
ความพยายามที่จะยกเลิกนโยบายดังกล่าว ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2536 เพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามาใน พ.ศ. 2551 ผู้ซึ่งกล่าวสนับสนุนการยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง[3] ใน พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านคำแปรบัญญัติรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติสำหรับปีงบประมาณ 2554 ซึ่งจะยกเลิกส่วนที่เกี่ยวข้องกันของกฎหมายดังกล่าว เมื่อมาตรการยกเลิกกฎหมายหยุดชะงักในระดับวุฒิสภา ร่างกฎหมายเดี่ยวสำหรับยกเลิกนโยบายก็ได้รับการเสนอในวุฒิสภาแทน สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553 และผ่านการลงคะแนนเสียงในวุฒิสภาที่ผ่านเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553[4] บารัก โอบามา ได้ลงนามให้การยกเลิกนี้มีผลทางกฎหมายเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ดีนโยบายดังกล่าวยังมีผลบังคับต่อไป จนกว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงจะลงความเห็นว่าการยกเลิก DADT ไม่มีผลต่อความพร้อม ประสิทธิภาพ ความสามัคคี และการจัดหากำลังพลของกองทัพ เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงลงความเห็นแล้วต้องรอเวลาอีก 60 วัน DADT จึงจะถูกยกเลิกโดยสมบูรณ์[5]
ประวัติ
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การยกเลิก
[แก้]รัฐบัญญัติปรับปรุงการเตรียมพร้อมทางทหาร
[แก้]รัฐบัญญัติปรับปรุงการเตรียมพร้อมทางทหารเป็นร่างกฎหมายที่ได้รับการเสนอเข้าสู่สภาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2548 โดยแจ้งจุดประสงค์ว่า "เพื่อแก้ไขลักษณะ 10 ของประมวลกฎหมายสหรัฐ เพื่อปรับปรุงการเตรียมพร้อมของกองทัพโดยเปลี่ยนนโยบายปัจจุบันเกี่ยวกับการรักร่วมเพศในกองทัพ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม 'ไม่ถาม ไม่ตอบ' ให้เป็นนโยบายที่ไม่มีการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศ" ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนออีกครั้งใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2552
การยกเลิกใน พ.ศ. 2553
[แก้]ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้สนับสนุนการยกเลิกในกฎหมายที่ห้ามกลุ่มรักร่วมเพศมิให้เข้ารับราชการทหาร[3] วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อมูลนิธิรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน กลุ่มให้การสนับสนุนรักร่วมเพศ รักร่วมสองเพศและคนข้ามเพศที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ว่าเขาจะยุติการห้ามดังกล่าว แต่ไม่ได้กำหนดตารางเวลาที่ชัดเจน[6] ในตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามาได้กล่าวในการแถลงนโยบายประจำปี พ.ศ. 2553 ครั้งแรก ว่า "ในปีนี้ ผมจะทำงานร่วมกับรัฐสภาและกองทัพของเราเพื่อยกเลิกกฎหมายที่ปฏิเสธสิทธิของชาวอเมริกันเกย์ที่จะรับใช้ชาติที่พวกเขารัก เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาเป็น"[7] คำแถลงดังกล่าวตามมาด้วยการแสดงความเห็นด้วยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โรเบิร์ต เกตส์ และประธานคณะเสนาธิการร่วม ไมเคิล มุลเลน ที่ให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างรวดเร็ว[8]
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553 รัฐมนตรีเกตส์ได้มีเอกสาร[9] สั่งให้คณะทำงานระหว่างกระทรวงและระหว่างหน่วยงานจะได้รับการัดตั้งขึ้น "เพื่อควบคุมการทบทวนที่ครอบคลุมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย [ห้ามถาม ห้ามบอก]" คณะทำงานทบทวนครอบคลุม (CRWG) มีประธานร่วม คือ พลเอกคาร์เตอร์-แฮม และที่ปรึกษาทั่วไปกระทรวงกลาโหม เจย์ จอห์นสัน[10] ทางเพนตากอนได้ตีพิมพ์รายงานสุดท้ายของคณะทำงานเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 โดยมีเนื้อหาระบุว่า การยกเลิกกฎหมายมีอัตราความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดการขัดขวางการทำงานของหน่วยงาน[11] รัฐมนตรีกลาโหม เกตส์ เกรงว่าศาลจะบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งอย่างระมัดระวัง[11] จึงกระตุ้นให้สภาคองเกรสมีมติยกเลิกกฎหมายอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ว่าทางกองทัพจะได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว พรรคเดโมแครตได้เลื่อนการพิจารณายกเลิกกฎหมายให้เร็วขึ้น[12]
25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เกตส์ได้ประกาศกฎใหม่ที่สั่งให้มีเพียงนายทหารระดับนายพลเท่านั้นที่สามารถเริ่มการดำเนินการปลดออกจากหน้าที่และกำหนดกฎของพยานหลักฐานที่เข้มงวดที่จะถูกนำไปใช้ในระหว่างการพิจารณาปลดออกจากหน้าที่[13]
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริการับรองการแปรบัญญัติเมอร์ฟี[14] ที่แก้ไขรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติสำหรับปีงบประมาณ 2554 ด้วยคะแนนเสียง 234-194 เสียง[15] ซึ่งจะยกเลิกส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องใน 60 วันหลังจากการศึกษาโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐเสร็จสิ้น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานคณะเสนาธิการร่วม และประธานาธิบดีสหรัฐรับรองว่าการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของกองทัพ[16][17] วันเดียวกัน คณะกรรมการกิจการทหารวุฒิสภาสหรัฐได้มีมาตรการอย่างเดียวกันด้วยคะแนนเสียง 16-12 เสียงที่จะนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ[16] ร่างกฎหมายที่ได้รับการเสนอผ่านสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[18]
21 กันยายน พ.ศ. 2553 จอห์น แมคเคน สามารถขัดขวางการผ่านมติได้สำเร็จ (56-43 เสียง) ต่อการโต้วาทีเกี่ยวกับรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ[19]
3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 คณะเสนาธิการร่วมได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการกิจการทหารวุฒิสภาเกี่ยวกับห้ามถาม ห้ามบอก[20] ในขณะที่รองประธานคณะเสนาธิการร่วม เสนาธิการทหารเรือ และผู้บัญชาการยามฝั่งได้ประเมินว่าการยกเลิกนโยบาย "ห้ามถาม ห้ามบอก" จะมีผลกระทบน้อยต่อการทำงานร่วมกันของทหารบกและทหารเรือ เสนาธิการทหารบกและทหารอากาศเช่นเดียวกับผู้บัญชาการนาวิกโยธินกลับไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายในคราวนี้[20] โดยกล่าวว่า ในขณะที่การรับชายและหญิงรักร่วมเพศสู่กองทัพเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้[20] การยกเลิกนโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดความตึงเครียดไม่พึงปรารถนาเพิ่มเติมต่อกำลังเน้นการรบระหว่างช่วงสงครามปัจจุบัน[20]
9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 การขัดขวางการผ่านมติอีกครั้งหนึ่งเป็นอุปสรรคต่อการโต้วาทีเกี่ยวกับรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติระหว่างสมัยประชุมสภาที่มีสมาชิกไม่ได้รับเลือกตั้งซ้ำ ซูซาน คอลลินส์ จากรัฐเมน ลงคะแนนเสียงให้ปิดอภิปรายและให้มีการลงคะแนนเสียงทันที และโจ แมนชิน จากรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้ลงคะแนนเสียงคัดค้าน[21] แมนชินกล่าววว่าเขาไม่สนับสนุนให้มีการลงคะแนนเสียงทันทีเพราะเขายังไม่ได้หารือกับประชาชนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่ก็ระบุว่านโยบายดังกล่าว "มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกยกเลิกในอนาคตอันใกล้"[22]
สมาชิกวุฒิสภา โจ ลีเบอร์แมน และซูซาน คอลลินส์ ได้เสนอร่างกฎหมาย เอส.4022 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เพื่อตอบโต้ความล้มเหลวในการเปิดอภิปรายรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ รวมไปถึงกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ ซึ่งลีเบอร์แมนและคอลลินส์พิจารณาว่าร่างกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านเป็นกฎหมายเดี่ยวได้ วอชิงตัน โพสต์ได้เปรียบเทียบมันกับการส่งเฮลแมรี่[23][24] ร่างกฎหมาย เอช.อาร์. 6520 ได้รับการสนับสนุนจากแพทริก เมอร์ฟี และผ่านสภาผู้แทนราษฎรโดยทาง เอช.อาร์. 2965 ด้วยคะแนนเสียง 250 ต่อ 175 เสียง วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553[25][26]
18 ธันวาคม พ.ศ. 2553 วุฒิสภาลงคะแนนเสียงเพื่อปิดการโต้วาทีใน เอส. 4023 อันเป็นร่างกฎหมายของวุฒิสภาที่เหมือนกับ เอช.อาร์. 2965 โดยทางการลงคะแนนเสียงทันทีด้วยคะแนนเสียง 63-33 เสียง[27] ก่อนหน้าการลงคะแนน ลีเบอร์แมนได้กล่าวสรุปโดยเห็นด้วยกับการยกเลิกห้ามถาม ห้ามบอก และแมคเคนกล่าวสรุปโดยเห็นตรงกันข้าม ผลคะแนนสุดท้ายของวุฒิสภาที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน โดยมาตรการที่ได้รับการเสนอนั้นผ่านด้วยคะแนนเสียง 65-31 เสียง[4]
เกตส์ได้มีการแถลงหลังจากการลงคะแนนเสียงชี้ว่าการวางแผนสำหรับการดำเนินการยกเลิกนโยบายดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในทันที นำโดยรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านกำลังพลและความพร้อมรบ คลิฟฟอร์ด แอล. สแตนลีย์ และจะมีการดำเนินการจนกระทั่งเกตส์เชื่อว่าเขาสามารถรับรองว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสำหรับการยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างสงบเรียบร้อย[28]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ http://assembler.law.cornell.edu/usc-cgi/get_external.cgi?type=pubL&target=103-160
- ↑ "United States Coast Guard Ninth District Legal Office ''The Legal Brief'' "Don't Ask, Don't Tell, Don't Pursue, Don't Harass: Reference (a): Personnel Manual, COMDTINST M1000.6, Ch. 12.E.", May 2010" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-09-29. สืบค้นเมื่อ 2010-10-23.
- ↑ 3.0 3.1 "Obama: Repeal of 'don't ask, don't tell' possible". MSNBC. Associated Press. April 10, 2008.
- ↑ 4.0 4.1 Hulse, Carl (December 18, 2010). "Senate Repeals 'Don't Ask, Don't Tell'". The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 18, 2010.
- ↑ http://www.abc.net.au/news/stories/2010/12/23/3099871.htm
- ↑ Simmons, Christine (2009-10-11). "Gays Question Obama 'Don't Ask, Don't Tell' Pledge". ABC News. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-16. สืบค้นเมื่อ 2009-10-11.
- ↑ "Obama calls for 'don't ask, don't tell' repeal". CNN. January 27, 2010.
- ↑ NYtimes.com
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-01-06. สืบค้นเมื่อ 2010-12-19.
- ↑ Lisa M. Novak. "Stars and Stripes, Aug 4, 2010". Stripes.com. สืบค้นเมื่อ 2010-10-13.
- ↑ 11.0 11.1 Bumiller, Elisabeth (November 30, 2010). "Little Impact Seen if Military Gay Ban Is Repealed". The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 1, 2010.
- ↑ O'Keefe, Ed (November 30, 2010). "'Don't ask, don't tell' report: Little risk to allowing gays to serve openly". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 1 December 2010.
{{cite news}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthor=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ "Pentagon Changes Rules for Discharging Gays". The New York Times. Associated Press. March 25, 2010.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Allen, Jared; Tiron, Roxana (May 25, 2010). "GOP to defend 'Don't ask, Don't Tell'". The Hill. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-21. สืบค้นเมื่อ May 30, 2010.
- ↑ Final vote results for roll call 317
- ↑ 16.0 16.1 Fritze, John (May 27, 2010). "Congress advances repeal of 'don't ask, don't tell'". USA Today. สืบค้นเมื่อ May 27, 2010.
- ↑ Herszenhorn, David M.; Hulse, Carl (May 27, 2010). "House Votes to Allow Repeal of 'Don't Ask, Don't Tell' Law". The New York Times. สืบค้นเมื่อ May 28, 2010.
- ↑ "House Passes 'Don't Ask, Don't Tell' Bill". CBS. May 28, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-21. สืบค้นเมื่อ May 28, 2010.
- ↑ "Senate halts 'don't ask, don't tell' repeal". CNN. September 22, 2010.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 "Top generals buck White House on military gay ban". Associated Press via Washington Post. 2010-12-03. สืบค้นเมื่อ 2010-12-06.
- ↑ O'Keefe, Ed; Kane, Paul (December 9, 2010). "'Don't ask, don't tell' procedural vote fails". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-09. สืบค้นเมื่อ December 10, 2010.
- ↑ D'Aprile, Shane (December 9, 2010). "Manchin votes against 'Don't ask' repeal, then apologizes". The Hill. สืบค้นเมื่อ December 10, 2010.
- ↑ O'Keefe, Ed; Whitlock, Craig (December 11, 2010). "New bill introduced to end 'don't ask, don't tell'". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ December 13, 2010.
- ↑ S. 4022
- ↑ Final vote results for roll call 638
- ↑ Bill Summary & Status - 111th Congress (2009 - 2010) - H.R.6520
- ↑ "U.S. Senate Roll Call", U.S. Senate, December 18, 2010, accessed December 18, 2010.
- ↑ "Statement by Secretary Robert Gates on Senate Vote to Repeal 'Don't Ask, Don't Tell'" (Press release). United States Department of Defense. December 18, 2010. สืบค้นเมื่อ December 19, 2010.