ข้ามไปเนื้อหา

สะพานเดินเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สะพานเดินเรือของอาร์เอ็มเอส ไททานิก

บนเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก สะพานเดินเรือ (หรือ สะพานบังคับการ) คือโครงสร้างส่วนบนที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการควบคุมเรือ จากจุดนี้ นายยามเรือเดินจะเป็นผู้กำหนดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเรือ ออกคำสั่งทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินเรือและความเร็ว และรับข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือ

สะพานเดินเรือประกอบด้วยห้องย่อยหลายห้อง ได้แก่ กำบังเดินเรือ ซึ่งเป็นที่สำหรับเฝ้ายาม และห้องถือท้าย ซึ่งมีพวงมาลัยเรือ หรือที่เรียกว่าพังงาในภาษาเดินเรือ เพื่อใช้บังคับหางเสือและส่งคำสั่งไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "แชดเบิร์น" ด้านข้างของห้องเดินเรือทั้งฝั่งกราบขวาและกราบซ้ายมีปีกภายนอกซึ่งใช้สำหรับช่วยบังคับทิศทางเรือ นอกจากนี้ยังมีห้องแผนที่ และห้องกัปตัน สะพานยังเชื่อมต่อกับห้องพักเจ้าหน้าที่ ซึ่งความสะดวกสบายนั้นแตกต่างกันไปตามยศ และยังอยู่ใกล้กับห้องโทรเลขไร้สายด้วย เจ้าหน้าที่ทั้ง 6 นายจะผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายามบนสะพานเดินเรือ โดยมีเจ้าหน้าที่พลาธิการและลูกเรือประจำดาดฟ้าคอยช่วยเหลือ หากสถานการณ์จำเป็น ต้นเรือและกัปตันก็อาจจะต้องเข้าร่วมด้วย

วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลาประมาณ 23:40 น. มีการตัดสินใจพยายามหลีกเลี่ยงภูเขาน้ำแข็งจากสะพาน หลังจากการชน คำสั่งให้อพยพออกจากเรือก็ถูกออกจากสะพานเช่นกัน เมื่อค้นพบซากเรือไททานิกในปี ค.ศ. 1985 สะพานแทบจะไม่เหลือซากอยู่เลย เนื่องจากถูกทับโดยปล่องไฟต้นแรกที่หักลงมาตามด้วยเสากระโดงหน้า

ที่ตั้ง

[แก้]

สะพานเดินเรือเปรียบเสมือนสมองของเรือ และตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด สอดคล้องกับทิศทางการเดินเรือ นั่นก็คือด้านหน้าของดาดฟ้าเรือ[1] ตั้งอยู่ห่างจากหัวเรือ 60 เมตร และสูงจากระดับน้ำประมาณ 23 เมตร ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นด้านหน้าเรือและขอบฟ้าได้อย่างชัดเจน[2]

สะพานเดินเรือสามารถเข้าถึงได้จากดาดฟ้าเรือทั้งด้านกราบซ้ายและกราบขวา บันไดที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทำให้สามารถเข้าถึงได้จากทั้งสองด้านของดาดฟ้า A นอกจากนี้ยังเชื่อมกับห้องพักเจ้าหน้าที่ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของห้องถือท้ายที่ระดับเดียวกับปล่องไฟต้นแรก[3] อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบริเวณดังกล่าวจำกัดไว้สำหรับเพียงแค่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเดินเรือและลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้ายามอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น

แผนผังสะพานเดินเรือไททานิก (ภาษาฝรั่งเศส)

โครงสร้าง

[แก้]

กำบัง

[แก้]
กำบังสะพานเรือโอลิมปิก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับของเรือไททานิกนั้น ได้ติดตั้งพังงาสำรองและเครื่องสั่งจักรถึง 5 เครื่อง

ที่บริเวณหัวดาดฟ้าเรือมีกำบังสะพาน (bridge shelter) และปีกควบคุมทิศทางสองแห่ง เชื่อมต่อกันด้วยราวกันตกที่ล้อมรอบส่วนหน้าของดาดฟ้า กำบังสะพานนั้นโปร่งโล่ง มีช่องเปิดทั้งสองด้านเชื่อมต่อกับทางเดินสำหรับเจ้าหน้าที่ มีหน้าต่าง 9 บานให้ต้นหนและนายท้ายสามารถมองเห็นเสากระโดงหน้าและหัวเรือได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง[4]

เข็มทิศและพังงาเสริม

[แก้]

ใต้กำบังสะพานมีพังงาสำรองสำหรับหางเสือของเรือไททานิก ถูกใช้ในระหว่างการเข้าและออกจากท่าเรือ เพื่อให้นายท้ายซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่เปิดโล่งสามารถได้ยินคำสั่งต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินเรือได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น พังงาเสริมยังใช้ตามชายฝั่งในสภาพอากาศดีหรือสภาพอากาศร้อน ถูกเชื่อมต่อทางกลไกกับหางเสือหลัก[2]

เข็มทิศที่ผลิตขึ้นในกลาสโกว์ตั้งอยู่ด้านหน้าพังงาเสริม เพื่อให้นายท้ายสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา ประกอบด้วยฐานไม้ (คล้ายหีบใส่ของ) ที่มีเข็มทิศแม่เหล็กวางอยู่ด้านบน และมีโคมไฟน้ำมันติดตั้งอยู่ภายใน ทำหน้าที่ชี้บอกเส้นทางของเรือ นอกจากนี้ยังมีตัวชี้บอกมุมหางเสือ (axiometer) ติดตั้งอยู่บนเพดานของกำบังสะพาน ตัวชี้บอกไฟฟ้านี้จะบอกให้นายท้ายทราบตำแหน่งเชิงมุมที่แม่นยำของหางเสือเมื่อเทียบกับแกนเรือ เฮอร์เบิร์ต พิตแมน ผู้ช่วยต้นเรือ ทำหน้าที่ตรวจสอบเข็มทิศ และแก้ไขทิศทางของเข็มทิศโดยอาศัยเส้นโค้งการเบี่ยงเบน เจ้าหน้าที่จะพึ่งพาเข็มทิศแบริ่งเป็นหลัก ซึ่งตั้งอยู่บนแท่นบนดาดฟ้าเรือ ระหว่างปล่องไฟที่สองและสาม ตรงกลางของเรือ การเดินเรืออาจจะเกี่ยวกับดาราศาสตร์ โดยใช้ดวงดาวและดวงอาทิตย์ เข็มทิศที่เหมือนกันและพังงาหลักตั้งอยู่ในห้องถือท้าย[4]

เครื่องสั่งจักร

[แก้]

กำบังสะพานมีเครื่องสั่งจักร (telegraph) 5 เครื่อง ใช้ในการส่งคำสั่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของเรือ สองเครื่องเชื่อมต่อกับห้องเครื่อง อีกสองเครื่องเชื่อมต่อกับสะพานเทียบเรือ และเครื่องสุดท้ายเป็นเครื่องฉุกเฉิน ซึ่งเชื่อมต่อกับห้องเครื่องเช่นกัน ใช้ได้เฉพาะกรณีที่สองเครื่องแรกขัดข้องเท่านั้น[2]

เครื่องสั่งจักรที่เชื่อมต่อกับห้องเครื่องถูกใช้โดยนายยามเรือเดินหรือโดยกัปตัน เพื่อสื่อสารคำสั่งใด ๆ ที่เกี่ยวกับความเร็วในการเดินเรือทั้งการเดินหน้าและถอยหลัง เมื่อสั่งให้เดินหน้า คำสั่งที่เป็นไปได้เรียงตามลำดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นคือ เบามาก (Dead Slow), เบา (Slow), ครึ่งตัว (Half), และเต็มตัว (Full) คำสั่งเหล่านี้หมายถึงอัตราการหมุนของใบจักรต่อนาทีที่แตกต่างกัน (กล่าวคือ ความต้องการกำลังที่แตกต่างกัน) คำสั่งหยุด (Stop) หมายความว่า ให้ห้องเครื่องหยุดการหมุนของใบจักร คำสั่งเตรียมเครื่องจักร (Stand By) หมายความว่า เตรียมเครื่องจักรให้พร้อม เมื่อสั่งให้ถอยหลัง คำสั่งจักรจะเหมือนกันทุกประการ คำสั่งเลิกเครื่องจักร (Finished With Engines) หมายความว่าไม่ต้องใช้เครื่องจักรแล้ว

ห้องถือท้าย

[แก้]

ห้องถือท้าย (wheelhouse) เป็นนวัตกรรมด้านการบังคับเรือในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บนเรือไททานิก ช่วยให้นายท้ายสามารถบังคับเรือได้ในเวลากลางคืนหรือในสภาพอากาศหนาวเย็น มีหน้าต่าง 5 บาน จัดเรียงในลักษณะที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้กว้างขึ้นผ่านหน้าต่างอีก 9 บานที่กำบังสะพาน นายท้ายจะยืนอยู่บนแท่นเล็ก ๆ เพื่อให้มองเห็นเข็มทิศที่อยู่เบื้องหน้าและหัวเรือได้ชัดเจนที่สุด[2]

ในเวลากลางคืน ห้องถือท้ายจะปิดสนิท ม่านหน้าต่างทั้งห้าบานถูกดึงลง และนายท้ายจะอาศัยเข็มทิศและคำสั่งจากนายยามเรือเดินในการเดินเรือ จุดประสงค์ของการปิดห้องถือท้ายทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้นายท้ายสามารถจดจ่อกับเข็มทิศได้อย่างเต็มที่ โดยป้องกันไม่ให้แสงจากภายนอกมาทำให้เสียสมาธิ ในทำนองเดียวกัน เครื่องสั่งจักรถูกออกแบบมาให้ส่องสว่างจากภายในในเวลากลางคืน แต่ระบบแสงสว่างนี้จะถูกปิดเมื่อเรืออยู่ในทะเลเปิด เพราะคำสั่งต่าง ๆ นั้นมีน้อยลง[5]

ระบบโทรศัพท์

[แก้]

ห้องถือท้ายติดตั้งโทรศัพท์แบบกรวยหูฟังจำนวน 4 เครื่อง สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในเพื่อการสื่อสารกับสถานที่ทั้งสี่แห่งบนเรือเพื่อให้การเดินเรือราบรื่น ได้แก่ หัวเรือ, รังกา, ห้องเครื่อง และสะพานเทียบเรือ ในยามค่ำคืนของการชน เฟรเดริก ฟลีต ยามเฝ้าระวัง ได้ใช้โทรศัพท์บนรังกาเพื่อแจ้งเตือนห้องถือท้ายถึงการปรากฏตัวของภูเขาน้ำแข็ง[6]

นอกจากการติดตั้งโทรศัพท์แล้ว ไททานิกยังมีสวิตช์สำหรับปิดประตูกันน้ำอีกด้วย ในคืนที่เรือจม สวิตช์นี้ถูกใช้งานโดยวิลเลียม เมอร์ด็อก ต้นเรือ เพื่อปิดห้องกันน้ำ[7] อาจมีสัญญาณบ่งบอกเหตุการณ์ดังกล่าว แต่มีเพียงคำให้การของลูกเรือรายหนึ่งเท่านั้นที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้

การติดตั้งอื่น ๆ

[แก้]

นอกจากระบบโทรศัพท์แล้ว ห้องถือท้ายยังมีเครื่องรับสัญญาณใต้น้ำ ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเตือนเมื่อเรือเข้าใกล้พื้นที่อันตราย ระบบนี้ทำงานโดยอาศัยกล่องสองกล่อง ซึ่งแต่ละกล่องมีไมโครโฟนบรรจุอยู่ภายใน และถูกติดตั้งไว้ภายในตัวเรือใต้ระดับน้ำ ทั้งด้านกราบซ้ายและขวาของเรือ กล่องเหล่านี้เชื่อมต่อกับเครื่องรับสัญญาณในห้องถือท้าย จะได้รับเสียงที่ระบุได้ด้วยเสียงระฆังที่มีโทนเสียงต่างกัน ในระยะทางสูงสุด 20 ไมล์ เครื่องนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการเข้าใกล้บริเวณอันตราย และยังใช้ในการนำทางขณะที่เรือแล่นอยู่ในหมอกหนา เนื่องจากช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งของเรือได้โดยอาศัยสัญญาณที่รับได้[8]

ห้องถือท้ายเรือไททานิกยังติดตั้งเครื่องวัดอัตราเร็วและไคลนอมิเตอร์เพื่อวัดมุมเอียงของตัวเรือ ท้ายที่สุดยังติดตั้งลูกตุ้มสองอัน, เครื่องวัดแดด, นาฬิกาเดินเรือ, เทอร์มอมิเตอร์ และบารอมิเตอร์[2]

ที่พักเจ้าหน้าที่

[แก้]
เจมส์ พอล มูดี ต้นเรือที่หก 1 ใน 4 เจ้าหน้าที่ชั้นรอง

ด้านหลังของห้องถือท้ายที่ระดับเดียวกับปล่องไฟต้นแรกและสามารถเข้าถึงได้จากดาดฟ้าเรือ เป็นที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่เดินเรือทั้ง 8 นาย พื้นที่ดังกล่าวถูกจัดสรรไว้สำหรับเจ้าหน้าที่เป็นการเฉพาะ กัปตันมีห้องพักส่วนตัวหรูหราที่สุด ประกอบด้วยสามห้อง ได้แก่ ห้องนอนส่วนตัว ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ ตั้งอยู่ทางด้านกราบขวาของเรือ ห้องพักของต้นเรือที่สี่และห้องสูบบุหรี่นั้นตั้งอยู่ฝั่งเดียวกัน

ทางด้านกราบซ้ายมีทางเดินเชื่อมไปยังห้องพักของต้นเรือ ต้นหน ผู้ช่วยต้นหน ต้นเรือที่ห้าและหก ห้องเดินเรือ (navigation room) เป็นพื้นที่ประชุมสำหรับกัปตันและเจ้าหน้าที่สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ ห้องแผนที่ (chart room) ตั้งอยู่ด้านหลังห้องถือท้ายทางด้านซ้ายมือเล็กน้อย ประกอบไปด้วยแฟ้มแผนที่และเอกสารการเดินเรือจำนวนมาก และนาฬิกาหลักสองเรือน นาฬิกาเหล่านี้ทำหน้าที่ควบคุมนาฬิกาอีก 48 เรือนที่ติดตั้งไว้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วทั้งเรือ นาฬิกาหลัก (หรือโครนอมิเตอร์ทางทะเล) ทั้งสองเรือนต้องมีการตรวจสอบความแม่นยำทุกวัน เพราะไม่มีการตั้งเวลาใหม่เพื่อปกป้องกลไกที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่างเช่น ขณะเรือแล่นมุ่งหน้าไปยังอเมริกา นาฬิกาบนเรือจะเดินเร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงทุกวัน ทุกวันเวลาเที่ยง โจเซฟ บ็อกซอลล์ ต้นเรือที่สี่ จะบันทึกความคลาดเคลื่อนของเวลาลงใน "สมุดปูมนาฬิกา" ห้องพนักงานนำร่องท่าเรือ (harbour pilot's cabin) ติดอยู่กับห้องแผนที่ด้านกราบขวาของเรือ ใช้ในระหว่างการเข้าและออกจากท่าเรือ เมื่อพนักงานฯ ขึ้นเรือ เขาจะไปที่ห้องนี้พร้อมกับกัปตันเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่จะดำเนินการ ท้ายที่สุด เจ้าหน้าที่มีห้องน้ำส่วนตัวอยู่ตรงข้ามห้องวิทยุ[2]

ห้องวิทยุ

[แก้]
ห้องวิทยุของเรือไททานิก ภาพถ่ายโดยแฟรนซิส บราวน์ โดยมีแฮโรลด์ ไบรด์นั่งอยู่ นี่คือภาพเดียวที่รู้จักของห้องนี้บนเรือไททานิก

ห้องวิทยุ (radio room) มีผู้ควบคุมคือแจ็ก ฟิลลิปส์ (หัวหน้าผู้ควบคุม)[9] และแฮโรลด์ ไบรด์ (ผู้ช่วยผู้ควบคุม)[10] ตั้งอยู่ห่างจากหัวดาดฟ้าเรือประมาณ 12 เมตร ด้านหลังปล่องไฟต้นแรก สื่อสารกับสะพานเดินเรือผ่านทางเดินที่เชื่อมต่อกับห้องพักเจ้าหน้าที่ฝั่งกราบซ้าย ประกอบไปด้วยห้องจำนวน 3 ห้อง

ห้องที่อยู่ห่างจากกราบซ้ายมากที่สุดคือห้องเก็บเสียง (salle sourde) เป็นที่ตั้งของเครื่องส่งวิทยุและเครื่องส่งฉุกเฉิน บนหลังคาห้องเก็บเสียงมีสายวิทยุแผ่คลื่นแนวตั้งสูง 50 เมตร เชื่อมกับสายแนวนอนอีกสี่เส้น ทำให้เกิดสายอากาศรูปตัว T และเป็นที่ตั้งของเครื่องรับวิทยุและอุปกรณ์ควบคุม สุดท้าย ห้องที่อยู่ทางกราบขวาสุดของเรือคือห้องพักที่มีเตียงสองชั้น ในระหว่างการเดินทาง พนักงานวิทยุโทรเลขทั้งสองคนจะผลัดกันเฝ้าฟังสัญญาณวิทยุโทรเลขบนคลื่นความถี่ 600 เมตรจากเรือไททานิกตลอดเวลา[11] ในเวลากลางคืน ฟิลลิปส์จะทำหน้าที่ตั้งแต่เวลา 20.00 น. ถึง 02.00 น. ขณะที่ไบรด์จะทำหน้าต่อจากนั้นตั้งแต่เวลา 02.00 น. ถึง 08.00 น.[12] ในระหว่างวัน ทั้งสองคนจะผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเพื่อความสะดวกร่วมกัน และเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา พวกเขาใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ และยังมีห้องนั่งเล่นขนาดเล็กบนชั้น C ด้วย[13]

การรับ-ส่งสัญญาณวิทยุโทรเลข

[แก้]

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1903 เป็นต้นมา[Note 1] เรือต่าง ๆ ที่แล่นอยู่ในทะเลรวมถึงเรือไททานิกจะส่งสัญญาณวิทยุในความยาวคลื่น 300 เมตร (ความถี่ 1,000 กิโลเฮิรตซ์) และรับสัญญาณวิทยุในความยาวคลื่น 600 เมตร (ความถี่ 500 กิโลเฮิรตซ์) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในยุคนั้น[14] เรือและสถานีชายฝั่งสามารถส่งและรับสัญญาณวิทยุในความยาวคลื่นเดียวกันได้ ตัวอย่างเช่น เรือลำหนึ่งสามารถติดต่อกับเรือลำอื่นในความยาวคลื่น 600 เมตร หรือเรือลำหนึ่งสามารถออกอากาศข้อมูลสภาพอากาศหรือตำแหน่งภูเขาน้ำแข็งในความยาวคลื่น 600 เมตร

สะพานเทียบเรือ

[แก้]

สะพานเทียบเรือ (docking gangway, docking bridge) ตั้งอยู่บนดาดฟ้าเดินเล่นชั้นสาม เป็นสถานที่ควบคุมการเทียบท่าหรือการเคลื่อนที่ในพื้นที่จำกัดของเรือ ถูกจัดวางตั้งฉากกับดาดฟ้าท้ายเรือ และต่างจากสะพานเดินเรือหลักตรงที่ไม่มีกำบัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่คล้ายกับห้องถือท้าย[15]

สะพานเทียบเรือติดตั้งเครื่องสั่งจักร 2 เครื่องที่เชื่อมต่อโดยตรงกับเครื่องสั่งจักรสองเครื่องบนสะพานเดินเรือ ทำให้ทั้งสองเครื่องทำงานประสานกันเป็นคู่ คู่หนึ่งถูกใช้เพื่อส่งคำสั่งไปยังห้องเครื่อง ขณะที่อีกคู่หนึ่งส่งคำสั่งในการเคลื่อนที่และบังคับทิศทาง นอกจากนี้ยังมีพังงาที่สามของเรือ (อีกสองที่คือที่กำบังสะพานและห้องถือท้าย) ซึ่งใช้ในกรณีที่มอเตอร์ควบคุมของพังงาหลักเกิดขัดข้อง ท้ายที่สุด สะพานเทียบเรือก็มีเข็มทิศเช่นกัน[2]

เจ้าหน้าที่ชั้นล่างจะคอยรับผิดชอบผลัดกันเฝ้ายาม ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 จอร์จ โรว์ ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้เฝ้ายาม เขาใช้เวลาตลอดเย็นเดินและพูดคุยกับผู้โดยสารเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและกระฉับกระเฉง จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.40 น. เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นภูเขาน้ำแข็งลอยผ่านข้างเรือ ขณะยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ เพียงแค่สามในสี่ของชั่วโมงต่อมา เขาก็ได้รับแจ้งถึงสถานการณ์เมื่อเขาโทรศัพท์ไปหาโจเซฟ บ็อกซอลล์ ต้นเรือที่สี่ เพื่อบอกให้ทราบว่าเพิ่งเห็นเรือชูชีพลำหนึ่งออกไป จากนั้นเขาก็กลับไปยังสะพานเดินเรือ และช่วยยิงจรวดขอความช่วยเหลือจนถึงเวลา 01:25 น. ต่อมาเวลา 01.40 น. เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลเรือชูชีพ C และรอดชีวิตจากเหตุการณ์เรืออับปาง[16]

ระหว่างการเดินทาง

[แก้]
เอ็ดเวิร์ด สมิธ กัปตันเรือไททานิก

ลูกเรือที่ได้รับมอบหมายให้บังคับบัญชาเรือประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จำนวน 8 นาย โดยมีกัปตันเอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ และรองกัปตันเฮนรี ไวลด์ เป็นผู้ควบคุมดูแลคณะเจ้าหน้าที่เดินเรืออีก 6 นาย[17] ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการเดินเรือตามตารางเวร

เจ้าหน้าที่ชั้นสูงสามนายรายงานโดยตรงต่อกัปตัน ซึ่งรับผิดชอบการเดินเรือไททานิกตามเวร สามเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ได้แก่ รองกัปตันเฮนรี ไวลด์, วิลเลียม แมกมาสเตอร์ เมอร์ด็อก ต้นเรือ, และชาลส์ ไลทอลเลอร์ ต้นหน[2] เดิมเมอร์ด็อกถูกกำหนดไว้ให้ดำรงตำแหน่งรองกัปตัน แต่ไวลด์ได้รับแต่งตั้งเข้ามาในนาทีสุดท้าย ทำให้เมอร์ด็อกต้องลดตำแหน่งลงมาเป็นต้นเรือ ส่วนไลทอลเลอร์เป็นต้นหน ทั้งสามคนนี้เคยบัญชาการเรือโอลิมปิกซึ่งเป็นเรือพี่ของไททานิกมาก่อน การเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้ายนี้มีข้อดีคือทำให้ไททานิกได้ลูกเรือที่มีประสบการณ์ในการควบคุมเรือขนาดใหญ่นี้แล้ว[18] เดวิด แบลร์ ต้นหนเดิม ได้ลาออกจากเรือไปแล้ว[19]

ทั้งสามคนนี้ผลัดกันปฏิบัติหน้าที่ทุก 4 ชั่วโมง 13 นาที และมีเจ้าหน้าที่ชั้นรองสองนายอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งทำงานเป็นคู่ขึ้นอยู่กับเวร ประกอบด้วยเฮอร์เบิร์ต พิตแมน ผู้ช่วยต้นเรือ,[20] แฮโรลด์ โลว์ ต้นเรือที่ห้า,[21] โจเซฟ บ็อกซอลล์ ต้นเรือที่สี่,[22] และเจมส์ พอล มูดี ต้นเรือที่หก[23]

เจ้าหน้าที่ยังมีหน้าที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญลงในสมุดปูมเรือที่อยู่ในห้องแผนที่ โดยทั่วไปแล้วไวลด์จะเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้[24] นายท้ายเรือถูกมอบหมายให้แก่ 1 ใน 7 เจ้าหน้าที่ชั้นล่างของลูกเรือประจำดาดฟ้า ซึ่งรายงานต่อเจ้าหน้าที่ชั้นสูง

คืนวันจม

[แก้]

การชน

[แก้]
วิลเลียม แมกมาสเตอร์ เมอร์ด็อก ต้นเรือ

ในค่ำคืนของวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลา 23.40 น. ขณะที่เรือไททานิกกำลังแล่นด้วยความเร็ว 22.5 นอต[25] ยามเฝ้าระวังที่ประจำอยู่บนรังกาคือ เฟรเดริก ฟลีต และเรจินัลด์ ลี ได้พบเห็นภูเขาน้ำแข็ง นายยามเรือเดินขณะนั้นคือเมอร์ด็อก ส่วนนายยามรองคือบ็อกซอลล์และมูดี ฟลีตรีบตีระฆังบนรังกาสามครั้งทันที จากนั้นจึงโทรศัพท์ไปยังห้องถือท้าย[26] มูดีรับสาย ฟลีตแจ้งเตือนเขาถึงการปรากฏของภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ห่างจากหัวเรือไม่ถึง 500 เมตร

มูดีแจ้งให้เมอร์ด็อกทราบในทันที ซึ่งเมอร์ด็อกได้สั่งให้นายท้ายในห้องถือท้ายเลี้ยวเรือไปทางกราบขวาอย่างรวดเร็วโดยสั่งว่า "หางเสือขวาหมด" (Hard a'starboard)[26] ด้วยคำสั่งนี้ เมอร์ด็อกพยายามหันหัวเรือไปทางกราบซ้าย เขาวิ่งไปยังกำบังสะพานและใช้เครื่องสั่งจักรส่งคำสั่งไปยังห้องเครื่องให้ถอยหลังเต็มตัว (Full astern)[1] อย่างไรก็ตาม หลังจากเรืออับปาง ต้นกลได้กล่าวว่าเครื่องสั่งจักรแสดงคำสั่ง "หยุด"[27] ท้ายที่สุด เรือไททานิกก็ชนกับภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งแรงกระแทกได้ทำให้หมุดย้ำตัวเรือใต้ระดับน้ำแตกออกมากกว่า 5 ห้องกันน้ำ ทำให้เกิดรูโหว่ขนาดใหญ่และน้ำทะเลไหลเข้ามาภายในเรืออย่างรวดเร็ว เมอร์ด็อกได้ปิดประตูกันน้ำของเรือโดยใช้ตัวควบคุมในห้องถือท้าย ไม่นานหลังจากนั้น กัปตันซึ่งกำลังพักอยู่ในห้องส่วนตัว ถูกสะดุ้งตื่นด้วยแรงกระแทกและเรียกเมอร์ด็อกมารายงาน เขายังสั่งให้หยุดเครื่องจักรทั้งหมด และให้บ็อกซอลล์ประเมินความเสียหาย[28] อย่างไรก็ตาม บ็อกซอลล์ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ จากนั้นกัปตันจึงสั่งให้ทอมัส แอนดรูส์ สถาปนิกผู้ออกแบบเรือไททานิก ทำการสำรวจเรืออย่างละเอียด แอนดรูส์ได้วินิจฉัยสถานการณ์หลังจากลงไปสำรวจความเสียหายที่ดาดฟ้าชั้นล่างพร้อมกับกัปตันและรองกัปตันไวลด์ กัปตันได้ขอให้บ็อกซอลล์ไปปลุกเจ้าหน้าที่ไลทอลเลอร์และพิตแมน ซึ่งยังคงอยู่ในห้องพักของพวกเขา เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกนายได้มารวมตัวกันในห้องเดินเรือพร้อมด้วยแอนดรูส์ ผู้ซึ่งได้ประกาศอย่างหนักแน่นว่าเรือลำนี้กำลังจะจมลงสู่ทะเล[29]

การมอบหมายเจ้าหน้าที่ประจำเรือชูชีพ

[แก้]
แฮโรลด์ โลว์ ต้นเรือที่ห้า

มีการสั่งให้ลดเรือชูชีพลง และส่งข้อความวิทยุจากสถานีใกล้ห้องพักเจ้าหน้าที่

การอพยพผู้โดยสารลงเรือชูชีพนั้นจัดการดังนี้ เมอร์ด็อกรับผิดชอบเรือชูชีพด้านกราบขวาทั้งหมด (เรือชูชีพหมายเลขคี่ทั้งหมด รวมถึงเรือพับ A และ C) และไลทอลเลอร์รับผิดชอบเรือชูชีพด้านกราบซ้ายทั้งหมด (เรือชูชีพหมายเลขคู่ทั้งหมด รวมถึงเรือพับ B และ D)[30] ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ มีหน้าที่ช่วยเหลือเมอร์ด็อกและไลทอลเลอร์ ในเวลา 00.55 น. พิตแมนได้ช่วยเหลือในการนำผู้โดยสารลงเรือชูชีพลำที่ 5 จากนั้นจึงขึ้นไปบนเรือลำดังกล่าวเพื่อทำหน้าที่บัญชาการ[31]

รองกัปตันไวลด์มีส่วนร่วมในการบรรจุเรือชูชีพอย่างระมัดระวัง แต่ไลทอลเลอร์รับหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการ เพราะมีประสบการณ์จากการอับปางมาก่อน[32] ประมาณ 01:30 น. ไวลด์ได้สั่งให้โลว์ซึ่งได้มาช่วยบรรจุเรือชูชีพลำที่ 14 และ 16 ขึ้นไปบนเรือชูชีพลำที่ 14[33] มูดีได้ช่วยเหลือโลว์[34] แต่ปฏิเสธข้อเสนอให้ขึ้นเรือชูชีพ บ็อกซอลล์ขึ้นเรือชูชีพลำที่ 2 ประมาณเวลา 01:45 น[35]

แจ็ก ฟิลลิปส์ และแฮโรลด์ ไบรด์ พนักงานวิทยุโทรเลขส่งข้อความขอความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจนกระทั่งน้ำท่วมห้องวิทยุในเวลาประมาณ 02:10 น.[36] หลังจากชนกับภูเขาน้ำแข็งเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที น้ำได้ท่วมถึงกำบังสะพานและห้องถือท้ายในเวลาประมาณ 02:00 น.[37]

กัปตันสมิธ รองกัปตันไวลด์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เมอร์ด็อกกับมูดีล้วนสูญหายไปพร้อมกับซากเรือ และร่างของพวกเขาไม่เคยถูกพบ ไลทอลเลอร์รอดชีวิตมาได้โดยการปีนขึ้นเรือพับ B ไม่กี่นาทีก่อนเรือไททานิกจะจมลง[38] เขาคือเจ้าหน้าที่ที่อาวุโสที่สุดที่รอดชีวิตจากการอับปาง

ประมาณเวลา 04.10 น. เรือชูชีพลำแรกถูกเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย (RMS Carpathia) เก็บขึ้นมา ซึ่งก็คือเรือชูชีพลำที่ 2 ภายใต้การบัญชาการของโจเซฟ บ็อกซอลล์ เรือชูชีพลำสุดท้ายที่ถูกช่วยเหลือคือลำที่ 12 และไลทอลเลอร์คือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายที่ขึ้นเรือ[39]

สภาพบนซากเรือ

[แก้]

หลังจากจมลง เรือไททานิกได้พุ่งชนก้นมหาสมุทรอย่างรุนแรงที่ความลึกเกือบ 3,700 เมตร กำบังสะพานและห้องถือท้ายได้รับความเสียหายจากการถล่มของปล่องไฟต้นแรก จากนั้นก็ถูกทำลายย่อยยับขณะที่เรือจมลงสู่ก้นมหาสมุทร เสากระโดงหน้าพังลงมาทับราวกันตกด้านซ้ายของสะพาน[40]

รังกา ซึ่งปรากฏในภาพถ่ายปี ค.ศ. 1986 นั้นได้สูญหายไปแล้วในปัจจุบัน โดยคาดว่าน่าจะตกลงไปภายในตัวเรือ[41] ชิ้นส่วนทองแดงของพังงาหลักยังคงหลงเหลืออยู่[42] ห้องพักเจ้าหน้าที่และห้องที่อยู่ติดกันนั้นอยู่ในสภาพดีกว่า โดยเฉพาะห้องพักของกัปตันสมิธ[43] อย่างไรก็ตาม หลังคาห้องวิทยุถูกทะลุหลายจุด เนื่องจากถูกใช้เป็นฐานลงจอดสำหรับยานดำน้ำ ในปี ค.ศ. 2000 การสำรวจครั้งหนึ่งได้ทำให้สามารถยกส่วนล่างของแท่นถือท้ายกลับขึ้นมาจากใต้น้ำได้[44] ในปี ค.ศ. 2017 การศึกษาที่ตีพิมพ์โดยบีบีซีเปิดเผยว่าซากเรือทั้งลำอาจหายไปภายในเวลา 20 ปี[45] ในปี ค.ศ. 2020 การสำรวจของสหรัฐได้ยืนยันว่าผนังของสะพานเดินเรือ ห้องพักเจ้าหน้าที่ และห้องวิทยุได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น[46]

บนเรือโอลิมปิกและบริแทนนิก

[แก้]

เรือไททานิกเป็นเรือลำที่สองในสามของชั้นโอลิมปิก แท้จริงแล้วเรือไททานิกได้ประโยชน์จากการปรับปรุงที่เหนือกว่าเรือลำก่อนหน้าอย่างเรือโอลิมปิก และบทเรียนที่ได้จากการอับปางทำให้เกิดการทบทวนการออกแบบสะพานของเรือพี่น้องอีกสองลำที่ยังคงอยู่[47]

บนเรือโอลิมปิก ห้องพักเหล่าเจ้าหน้าที่นั้นถูกจัดระเบียบแตกต่างออกไป และมีขนาดเล็กกว่า[3] การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแนวคิดของโจเซฟ บรูซ อิสเมย์ ที่ต้องการเพิ่มห้องโดยสารชั้นหนึ่งอีกเล็กน้อยบนดาดฟ้าเรือไททานิก[48] รูปทรงของห้องถือท้ายก็แตกต่างจากเรือไททานิกและบริแทนนิกด้วยเช่นกัน แต่ต่อมาได้มีการดัดแปลง[49] หลังจากการออกแบบใหม่ได้มีการติดตั้งแท่นเข็มทิศไว้บนหลังคาห้องถือท้าย

เรือบริแทนนิกซึ่งยังอยู่ในระหว่างการสร้างขณะที่ไททานิกอับปางลงนั้น ได้มีการออกแบบสะพานใหม่ แผงควบคุมผนังกันน้ำไม่แสดงสถานะว่าเปิดหรือปิดอีกต่อไป แต่แสดงตำแหน่งของผนังกันน้ำอย่างชัดเจน เครื่องสั่งจักรยังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และมีอุปกรณ์ชี้บอกจำนวนรอบเครื่องจักรเรืออย่างแม่นยำ เช่นเดียวกับเรือโอลิมปิกหลังจากการปรับปรุงใหม่ หลังคาสะพานเดินเรือก็มีเข็มทิศอยู่เช่นกัน[50] การสื่อสารระหว่างสะพานและห้องวิทยุ ซึ่งขาดหายไปบนเรือไททานิก ได้รับการปรับปรุงโดยใช้ท่อลมเชื่อมต่อระหว่างสองสถานที่นั้น บนเรือโอลิมปิก การเชื่อมต่อนี้ทำโดยโทรศัพท์[51]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Marshall (1997, pp. 18–19)
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 Le Site du Titanic (n.d.a) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ ":1" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  3. 3.0 3.1 Le Site du Titanic (n.d.b)
  4. 4.0 4.1 RMS -Titanic Inc. (n.d.a)
  5. Titanic, Marconigraph. (n.d.a)
  6. Le Site du Titanic (n.d.c)
  7. Titanic-Titanic (n.d.)
  8. Chirnside (2004, p. 28)
  9. Encyclopedia Titanica (n.d.a)
  10. Encyclopedia Titanica (n.d.b)
  11. Washington: Government Printing Office (1907a)
  12. Brewster & Coulter (1999, p. 37)
  13. Le Site du Titanic (n.d.d)
  14. Washington: Government Printing Office (1907b)
  15. RMS Titanic Inc. (n.d.b)
  16. Encyclopedia Titanica (2002)
  17. Le Site du Titanic (n.d.e)
  18. Dane (2019)
  19. Chirnside (2004, p. 137)
  20. Encyclopedia Titanica (n.d.c)
  21. Encyclopedia Titanica (n.d.d)
  22. Encyclopedia Titanica (n.d.e)
  23. Encyclopedia Titanica (n.d.f)
  24. Brewster & Coulter (1999, p. 16)
  25. Riffenburgh (2008, p. 32)
  26. 26.0 26.1 Ferruli & Mahé (2003, p. 94)
  27. Titanic, Marconigraph (n.d.b)
  28. Piouffre (2009, p. 142)
  29. Chirnside (2004, p. 160)
  30. Ferruli & Mahé (2003, p. 152)
  31. Piouffre (2009, p. 157)
  32. Lightoller (1935)
  33. Piouffre (2009, p. 161)
  34. Gracie (1998, p. 138)
  35. Gracie (1998, p. 152)
  36. Ferruli & Mahé (2003, p. 235)
  37. Ferruli & Mahé (2003, pp. 238–239)
  38. Gracie (1998, pp. 184–196)
  39. Ferruli & Mahé (2003, p. 268)
  40. Legag (n.d.)
  41. Le Site du Titanic (n.d.f)
  42. Trésors du Titanic (n.d.)
  43. Brewster & Coulter (1999, p. 82)
  44. Chirnside (2004, p. 294)
  45. Rebillat (2017)
  46. Rebillat (2020)
  47. Brewster & Coulter (1999, pp. 78–79)
  48. Association française du Titanic (n.d.)
  49. Chirnside (2004, p. 77)
  50. Hospital Ship Britannic (n.d.)
  51. Chirnside (2004, p. 225)


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "Note" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="Note"/> ที่สอดคล้องกัน